Skin type vs. Skin condition

Skin type vs. Skin condition

     หลายคนสงสัยว่าตัวเองมีผิวแบบไหนกันแน่

     บางคนเข้าใจมาตลอดว่าเป็นคนผิวมัน แต่หลังจากทายารักษาสิว ผิวกลับลอกเหมือนคนผิวแห้ง

     ในคนที่เป็นโรค Sebderm หรือผื่นแพ้ต่อมไขมัน มักไม่แน่ใจว่าตัวเองมีผิวแพ้ง่าย หรือผิวมัน แต่บางครั้งหน้าก็ลอกแบบผิวแห้ง

     ที่เป็นแบบนี้ เพราะเราคิดว่า Skin type กับ Skin condition เป็นเรื่องเดียวกัน

     แต่ที่จริงแล้วประเภทของผิว (Skin type) และสภาพผิว (Skin condition) ต่างกันโดยสิ้นเชิง

—————————————————

     Skin type เป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เพราะกำหนดโดยพันธุกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยภายในร่างกาย หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ช้ามาก จนรู้สึกว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงต่อให้เวลาผ่านไป

     Skin type แยกง่ายๆ ได้เป็น ผิวผสม (ที่รวมจนถึงผิวมัน) ผิวธรรมดา และผิวแห้ง

     แต่เพศ และวัย ก็มีผลต่อ Skin type อยู่บ้าง

     ผิวทารกมักจะนุ่มนิ่มและลื่น เหมือนกำมะหยี่ เรียบ ไร้ริ้วรอย อีกทั้งยังค่อนข้างแห้ง เพราะในวัยทารก ต่อมเหงื่อแทบจะไม่ทำงาน  

     พอย่างเข้าวัยรุ่น ผิวเริ่มหนาขึ้น มันมากขึ้น (กว่าตอนเป็นเด็กเล็ก) สีผิวเข้มขึ้น

     แต่เมื่ออายุมากขึ้น จะรู้สึกว่าผิวแห้งลง เพราะต่อมไขมันเริ่มฝ่อ ผลิตไขมันได้น้อยลง

     อีกอย่าง โดยทั่วไปผู้ชายมักจะผิวมันกว่าผู้หญิง

—————————————————

     แต่ Skin condition เกิดขึ้นด้วยปัจจัยภายนอก ดังนั้นจึงเปลี่ยนแปลงไปตามที่ถูกกระตุ้น

     ปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาพผิวมีอยู่มากมาย ทั้งสภาวะแวดล้อม เขตภูมิประเทศ สภาพอากาศ มลภาวะ หรือการใช้ชีวิต ความเครียด การสูบบุหรี่ อาหารที่รับประทาน หรือโรคที่เป็น แม้แต่ฮอร์โมนในตัวเราเองก็ตาม เป็นต้น

     คนที่เป็น Sebderm ส่วนใหญ่ผิวมัน แต่มีอาการอักเสบของผิวที่มักเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันมากๆ เช่น หว่างคิ้ว หรือข้างแก้มบริเวณซอกจมูก หรือบนหนังศีรษะ ทำให้ผิวลอก

     หรือในรายที่รับประทานยารักษาสิวประเภทกรดวิตามินเอ เช่น Roaccutane® ที่มีฤทธิ์ทำให้ต่อมไขมันบนใบหน้าฝ่อตัว มักรู้สึกว่าผิวแห้งลง แต่เป็นอาการเพียงชั่วคราว

     เมื่อเราขึ้นดอยช่วงหน้าหนาว หรือไปต่างประเทศที่อากาศแห้ง มักจะรู้สึกว่าผิวแห้งไปด้วย คนที่พื้นฐานมีผิวมันหรือผิวผสม จะรู้สึกว่าหน้ามันลดลง ส่วนคนที่ผิวธรรมดาจะรู้สึกว่าหน้าแห้ง

—————————————————

     ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพผิวมีอยู่มากมาย สภาพผิวเองก็แยกได้เป็นร้อยประเภท ตั้งแต่ผิวหมอง ไม่สดใส เนื่องจากโดนฝุ่นควันมาก เครียด นอนไม่หลับ หรือก่อนมีรอบเดือน

     ผิวไม่กระชับ จากการสูบบุหรี่ หรือน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว   

     ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น จากการใช้สบู่แรงๆ อาบน้ำอุ่นจัด ดื่มน้ำน้อย หรืออาการข้างเคียงจากโรคอื่น เช่น เบาหวาน หรือไต ที่ทำให้ต่อมไขมันเล็กลง ต่อมเหงื่อฝ่อลง

     หรือผิวไหม้เกรียมจากการอาบแดด  

     จนกระทั่งถึงอาการของโรค (Skin/Dermatologic disorders) ซึ่งมีตั้งแต่ สิว ผื่นแพ้ ตุ่มน้ำใส ลมพิษ โรเซเซีย (โรคหน้าแดง) ไปจนกระทั่งถึง สะเก็ดเงิน ตุ่มน้ำพอง หรือผิวที่โดนไฟไหม้ ที่จำเป็นต้องอาศัยการรักษาของแพทย์

—————————————————

     ว่ากันว่าผู้ป่วยไฟไหม้ แพทย์จะทำผิวเทียมให้ ระหว่างรอผิวแท้ขึ้นมา เพราะหากไม่มีผิวเลย ความชุ่มชื้นในร่างกายจะระเหยออกไปหมด ทำให้ร่างกายขาดน้ำจนตายได้ อีกทั้งเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เนื่องจากไม่มีผิวหนังปกป้อง

     เดิมแพทย์ใช้หนังหมู แต่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นการใช้เนื้อเยื่อจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ในรายที่ผิวไหม้ไม่มาก

     แต่ในผู้ที่ผิวหนังโดนไฟไหม้ทั้งตัว แพทย์จะปลูกผิวหนังเทียมไม่ต่างจากบอดี้สูท ซึ่งทำมาจากวัสดุหลากหลายชนิด ทั้งเส้นใยสังเคราะห์ (Synthetics) ซิลิโคน ไปจนถึงเอ็นวัว หรือกระดูกอ่อนของฉลาม

—————————————————

     ในสมัยโบราณ ชาวอียิปต์มีวิธีรักษาแผล เพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่อวัยวะภายใน ที่ไม่ใช่การรักษาด้วยสมุนไพร

     โดยจะโรยเกลือบนแผล (คิดเอาว่าจะแสบขนาดไหน!) หรือใช้เนื้อสัตว์สดๆ หุ้มไปที่แผล หรือใช้ขนมปังขึ้นราโปะแผล หรือบางครั้งก็ใช้หอมหัวใหญ่

     ฟังดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าทั้งน่าสยดสยองกับเจ้าของแผล และไม่น่าจะถูกสุขลักษณะสักเท่าไหร่

     แต่มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในวารสารแพทย์ผิวหนังในเยอรมนีที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2559 ที่พิสูจน์แล้วว่า เนื้อสัตว์มีแร่ธาตุเหล็กสูง จึงช่วยให้เลือดจับตัวเป็นก้อนได้ดี เหมาะกับแผลสด

     ขณะที่ เกลือและหอมหัวใหญ่มีฤทธิ์ช่วยสมานและห้ามเลือด

     ส่วนขนมปังขึ้นรา ทำหน้าที่ไม่ต่างจากเพนนิซิลินในยุคนี้ คือมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย

     หลังจากนั้น ค่อยทำให้แผลสมานด้วยการใช้น้ำผึ้ง ผสมกับน้ำมัน ไขมัน และเส้นใยพืช พันไปที่แผล

—————————————————

     ความเข้าใจเรื่อง Skin type และ Skin condition มีผลต่อการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin care)

เพราะผู้ผลิต Skin care เอง ก็คำนึงถึง Skin condition มากขึ้น ผลิตสินค้าที่ตอบสนองต่อ Skin condition มากขึ้น

     จากเมื่อก่อนที่ได้ยินเพียงแค่ ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ผิวธรรมดา

     แต่ปัจจุบัน จะเห็น Skin care เพื่อผิวหมองคล้ำ ผิวแพ้ง่าย ผิวที่เผชิญกับมลภาวะ ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวไม่กระชับ ผิวมีปัญหาสิว เป็นต้น

     ดังนั้น หากช่วงใดที่สภาพผิวเปลี่ยนแปลง ควรปรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้เหมาะกับสภาพผิว ณ ช่วงเวลานั้นๆ

     ผู้ที่พื้นฐานมีผิวมันที่ไปเมืองหนาว อาจจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เนื้อเข้มข้นขึ้น

     หรือเมื่อไปเที่ยวเจอกับน้ำที่มีความเป็นกรดด่างต่างไปจากปกติ มีผดผื่นขึ้น หรือผิวลอกกลับมา ควรเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้าและบำรุงผิวที่อ่อนโยนเป็นพิเศษ เป็นต้น

     เพื่อคงผิวสวยไว้ตลอดไป 

Message us