ใบหน้าซีกซ้ายรู้สึกเจ็บมากกว่าซีกขวาจริงหรือ?

ใบหน้าซีกซ้ายรู้สึกเจ็บมากกว่าซีกขวาจริงหรือ?

     เคยสังเกตตัวเองกันไหม ว่าใบหน้า 2 ข้าง รับความรู้สึกได้ต่างกันหรือเปล่า

     ข้างหนึ่งจะรู้สึกเจ็บมากกว่าอีกข้างหนึ่งไหม

———————————————-

     คุณหมอด้านความงามชาวดัตช์ 5 คน ร่วมกันศึกษาเพื่อหาข้อสรุปว่า เมื่อโดนเข็มฉีด ใบหน้าทั้ง 2 ข้าง รู้สึกเจ็บเท่ากันหรือไม่ และถ้าไม่ ข้างใดจะรู้สึกเจ็บมากกว่า อีกทั้งมีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อความเจ็บของใบหน้าแต่ละด้าน

     โดยที่เลือกฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์

     ที่เลือกฉีด 2 ตัวนี้ ก็เพราะ จากสถิติ การฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์เป็นที่นิยมมากที่สุดแล้ว ในบรรดาทรีทเม้นท์เพื่อความงามที่ไม่ใช่ศัลยกรรมทั้งหมด

     แม้ว่าประเทศไทยไม่มีการจัดเก็บสถิติอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่อย่างน้อย สถิติในประเทศสหรัฐอเมริกาน่าจะพอบอกแนวโน้มความนิยมฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ได้

     เฉพาะปี 2558 ปีเดียว ในสหรัฐอเมริกามีการฉีดโบท็อกซ์ไป 4.3 ล้านครั้ง และฉีดฟิลเลอร์ 2.1 ล้านครั้ง

     แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับจำนวนประชากรชาวอเมริกันทั้งประเทศที่มีจำนวนกว่า 320 ล้านคน แต่ถ้าดูจำนวนการฉีดโบท็อกซ์ในช่วงระยะเวลา 20 ปี (2540-2560) จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นถึง 6500%

———————————————-

     การศึกษาของคุณหมอชาวดัตช์และผู้ช่วย ทดลองกับคนไข้ 302 คน ที่มีทั้งผู้หญิง (283 คน) และผู้ชาย (19 คน) และมีทุกวัย ตั้งแต่ 21 ปี จนถึง 76 ปี มีทั้งคนที่ถนัดซ้ายและถนัดขวา รวมไปถึงคนที่ความรู้สึกของร่างกายซีกหนึ่งไวกว่าอีกซีกหนึ่ง

     แบ่งเป็นการฉีดโบท็อกซ์ 244 คน และฟิลเลอร์ 105 คน เพราะบางคนฉีดทั้ง 2 อย่าง

     กลุ่มแรก หมอจะเริ่มฉีดใบหน้าด้านซ้ายก่อน ส่วนกลุ่มสอง หมอจะเริ่มฉีดใบหน้าด้านขวาก่อน

     ผลที่ได้ โดยส่วนใหญ่ คนเราจะรู้สึกเจ็บที่ใบหน้าด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา แต่ถ้าเริ่มฉีดใบหน้าด้านซ้ายก่อน ความรู้สึกโดยรวมเจ็บน้อยกว่าการที่เริ่มฉีดด้านขวาก่อน

     คนถนัดขวาจะรู้สึกเจ็บมากกว่า เมื่อเทียบกับคนถนัดซ้าย

     ขนาดของเข็มก็มีส่วน เข็มยิ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็ก ยิ่งทำให้เจ็บน้อยลง แต่การทดลองไม่ได้เทียบระหว่างเข็มปลายแหลม (Sharp needle) และเข็มปลายทู่ (Blunt needle)

     เทคนิคการฉีดของหมอก็คาดว่ามีผลเช่นกัน หมอที่เชี่ยวชาญการฉีดจะช่วยให้คนไข้รู้สึกเจ็บน้อยลง

———————————————-

    นี่ถือเป็นครั้งแรกในวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ที่ทดลองวัดความเจ็บของใบหน้า และเจาะจงว่าเป็นการวัดความเจ็บจากการฉีด แต่การทดลองเพื่อวัดระดับการรับรู้ความรู้สึกของร่างกายซีกซ้ายและซีกขวาได้มีมาก่อนหน้านี้

     การทดลองก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ทดลองกับมือ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งใช้น้ำร้อนน้ำเย็นเป็นตัวทดลอง ซึ่งได้ผลว่า มือซ้ายรู้สึกเจ็บมากกว่ามือขวา

     ส่วนนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มทดลองโดยใช้การอ่านคลื่นสมอง เนื่องจากสมองซีกขวาส่วนด้านข้างทำหน้าที่บอกอวัยวะต่างๆ ในร่างกายถึงอาการเจ็บปวด

     ผลการอ่านค่าเป็นไปในทางเดียวกับการทดลองข้างต้น คือ ระดับการรับรู้ความเจ็บปวด (Pain threshole) ของมือด้านซ้ายอยู่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับด้านขวา พูดง่ายๆ มือซ้ายรู้สึกเจ็บไวกว่าและมากกว่ามือขวา

     ขณะที่ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มต่อมาทดลองได้ผลออกมาว่า มือซ้ายรู้สึกต่อแรงกดแรงบีบมากกว่ามือขวา แต่หากกระตุ้นด้วยความร้อน/ความเย็น ผลที่ได้ไม่ชัดเจนนัก

     แต่ในทุกการศึกษา ซึ่งรวมถึงการทดลองฉีดที่หน้าด้วย ชี้ไปในทางเดียวกันว่า ผู้หญิงไวต่อความเจ็บปวดเมื่อเทียบกับผู้ชาย (แต่จากประสบการณ์ ผู้หญิงทนต่อความเจ็บได้มากกว่าผู้ชาย)

———————————————–

     การทดลองทั้งหมดที่ว่ามา ก็เพื่อนำมาใช้ประโยชน์กับคนไข้จริงๆ เพราะไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย หากเป็นไปได้ คงไม่มีใครอยากทรมาน แม้จะเพื่อความสวย

     คุณหมอที่ทำการทดลองจึงพยายามหาวิธีว่าฉีดอย่างไรให้คนไข้เจ็บน้อยที่สุด นอกจากฝึกฝนความชำนาญของตัวเองแล้ว การเริ่มฉีดใบหน้าด้านซ้ายก่อน และใช้เข็มเล็ก พิสูจน์แล้วว่ามีส่วนช่วยบรรเทาความเจ็บทั้งสิ้น      

     เพื่อที่การฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์จะได้เป็นเรื่องไม่น่ากลัวอีกต่อไป 😊

Message us