แสงเพื่อผิวสวย

แสงเพื่อผิวสวย

     ใครจะคิดว่าแสงก็ทำให้ผิวสวยได้

     แต่ไม่ใช่ว่า เพียงแค่ได้รับแสง ผิวก็สวยแล้ว

     เพราะแสงแต่ละสี ให้ประโยชน์กับผิวที่แตกต่างกัน

———————————————-

     แสงไม่ได้ใส ไร้สี แต่สามารถแยกเป็นสีต่างๆ ได้ ตามความยาวคลื่น

     แต่ประโยชน์ของแสงที่มีต่อผิว จะรวมทั้งแสงที่มองเห็นได้ (Visible light) หรือสีตามรุ้งกินน้ำ และแสงที่ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ ได้แก่ แสง Ultraviolet (ที่ความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงสีม่วง) และ Infrared ที่ความยาวคลื่นยาวกว่าแสงสีแดง

———————————————-

     แสงแต่ละสี แต่ละความยาวคลื่น แทรกลงสู่ผิวได้ไม่เท่ากัน

     แสง UV (ความยาวคลื่น 100-380 นาโนเมตร) ทะลุผ่านชั้นผิวลงไปได้ไม่ถึง 0.1มิลลิเมตร ด้วยซ้ำ

     สีม่วงถึงสีน้ำเงินเข้ม (ความยาวคลื่น 390-470 นาโนเมตร) ลงไปได้ประมาณ 0.3 มม.

     และสีที่มีความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น ก็ทะลุผ่านชั้นผิวลงไปได้ลึกขึ้น ไล่ตามสีน้ำเงิน-เขียว สีเหลืองถึงสีส้ม สีแดงเข้ม-เกือบอินฟราเรด (Near-Infrared) (ความยาวคลื่น 650-950 นาโนเมตร) ที่ลงไปได้ถึง 2-3 มม.

     แต่ถ้าเป็นสีแดงระดับ Near-Infrared (NIR) ที่ความยาวคลื่นยาว 950-1200 นาโนเมตร กลับลงไปได้น้อยกว่าสีแดงเข้ม (ประมาณ 1มม.)

———————————————-

     การใช้แสงเพื่อผิวแบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ วิธี Low level laser therapy และ Photodynamic therapy

     วิธีแรก Low level laser therapy (LLLT) ยังมีชื่อที่เรียกกันอีก ทั้ง Low intensity laser therapy ทั้ง Low level light therapy ทั้ง Photobiomodulation (PBM) แม้แต่ Soft laser biostimulation รวมๆ แล้ว คือการใช้เลเซอร์หรือแสงพลังงานต่ำในการรักษา

     โดยวิธีการที่แสงไปกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีภายในเซลล์ ซึ่งตัวที่กระตุ้นคือความเข้มแสง (Photons) ไม่ใช่ความร้อนที่เกิดจากพลังงานแสง

     แสงจะส่งผ่าน LED (Light emitting diodes) แต่ควบคุมให้ปล่อยความเข้มและความยาวคลื่นแสงเฉพาะที่ต้องการ (เพราะฉะนั้น ต่อให้เอาหลอด LED ที่บ้านมาส่องผิว ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผล)

———————————————-

     มีผลพิสูจน์กันแล้วว่า LLLT ในระดับพลังงานต่ำ สามารถกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเซลล์ไฟโบรบลาสต์ที่ผลิตคอลลาเจนได้ เพิ่ม Growth factors และกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด ดังนั้นจึงสามารถช่วยสมานแผลและรักษาเนื้อเยื่อได้

———————————————-

     แสงแต่ละสีก็มีคุณสมบัติแต่ละอย่าง      

     แสงสีน้ำเงินมีคุณสมบัติทำลายแบคทีเรีย ซึ่งรวมถึง P. Acne แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบด้วย

     ขณะที่ แสงสีแดงมีผลให้ต่อมไขมันปล่อยไขมันลดลง ลดความมันบนผิว และมีส่วนในกระบวนลดการอักเสบของผิว

     ดังนั้น จึงมักนำแสงสีน้ำเงิน หรือสีแดง หรือใช้ควบคู่กัน เพื่อรักษาสิวอักเสบ

———————————————-

     แสงสีน้ำเงินและแสงสีแดง ยังนำมาใช้กับการฟื้นฟูผิว (Skin rejuvenation) จากการกระตุ้นให้เพิ่มเซลล์สร้างคอลลาเจน รวมทั้งลดตัวที่ทำให้คุณภาพคอลลาเจนแย่ลง       

     โดยสีแดงช่วยลดริ้วรอยตื้นๆ และให้ผิวเรียบขึ้น ขณะที่สีน้ำเงินเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และปรับสภาพผิวโดยรวม

———————————————-

     การฉายแสง LED สีแดงก่อนที่จะออกแดด ยังมีส่วนต้านอาการแสบแดงจากรังสี UV ด้วย จึงช่วยให้ผิวไม่เสีย

     และเมื่อฉาย LED ในระดับใกล้อินฟราเรด (NIR) ที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน เนื้อเยื่อสมาน จึงช่วยรักษาพวกแผลเป็นได้     

     ส่วนแผลไหม้ ใช้แสงส้มรักษา จะช่วยลดอาการผิวไหม้ แดง บวม และผิวลอก  

———————————————-    

     การใช้วิธี LLLT ยังสามารถใช้รักษาโรคผิวหนังอีกหลายประเภท ทั้งงูสวัด ด่างขาว สะเก็ดเงิน

     นอกจากนี้ ยังนำมาใช้ในการแพทย์หลายสาขา (รักษาอาการรูมาตอย ปวดข้อมือประสาทมือชา แผลรักษายากในผู้ป่วยเบาหวาน) รวมไปถึงหมอฟัน (รักษาแผลในปาก แผลเปื่อย) นักกายภาพ (ลดอาการเคล็ดขัดยอกก็ช่วย ลดบวม รักษาข้อต่อ) แม้แต่หมอฝังเข็มก็ใช้แทนเข็มในคนไข้ที่กลัวเข็ม

     รวมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อใช้รักษาอาการบาดเจ็บที่สมอง (Traumatic brain injury, TBI) การบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โรคอัลไซเมอรส์ โรคพาร์คินสัน

———————————————-

     ส่วน Photodynamic therapy (PDT) เป็นการใช้แสงลักษณะ High intensity เพื่อรักษาอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยยาที่เมื่อโดนแสงและออกซิเจนถึงจะเกิดปฏิกริยา (Photosensitizer) กลายเป็นตัวกระตุ้นเพื่อทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ (ต่างกับ LLLT ที่สามารถฉายลงไปตรงๆ ที่ผิวได้เลย ไม่จำเป็นต้องอาศัยยา)

     ยาดังกล่าวอาจจะอยู่ในรูปครีม หรือยาฉีด หรือยาน้ำก็ได้ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่จะรักษา

     ขณะที่ แหล่งกำเนิดของแสงที่ใช้ อาจจะเป็นเลเซอร์ที่ปล่อยแสงในความยาวคลื่นที่ต้องการได้ ซึ่งรวมถึงเครื่อง IPL (Intense pulsed light) ด้วย หรือจะเป็น LED ก็ได้

———————————————-

     ส่วนใหญ่ PDT ใช้รักษามะเร็ง ที่อาจจะคุ้นเคยกับคำว่าวิธีการ “ฉายแสง” หรือเซลล์ที่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ มีโอกาสกลายเป็นเนื้อร้ายได้ โดยเฉพาะมะเร็งผิวหนังหลายประเภท มะเร็งหลอดอาหาร หรือมะเร็งปอด

     และยังใช้กับดวงตาด้วย สำหรับอาการมองเห็นไม่ชัด (Macular degeneration) ซึ่งหากทิ้งไว้อาจนำไปสู่การมองไม่เห็นอย่างถาวร 

———————————————-

     เมื่อ PDT สามารถทำลายเซลล์ได้ จึงเริ่มนำมาใช้ในการรักษาสิวอักเสบ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นสิวอย่างรุนแรง และไม่ค่อยตอบสนองต่อยาทาหรือยาชนิดรับประทาน

     แต่แสงที่ใช้ไม่ต่างกับ LLLT คือใช้แสงสีน้ำเงิน และแสงสีแดง เช่นกัน เพื่อทำลายแบคทีเรีย ลดขนาดต่อมผลิตไขมัน รวมทั้งรักษาอาการอักเสบด้วย

     นอกจากนี้ ยังเริ่มใช้เพื่อฟื้นฟูสภาพผิว เช่นเดียวกับ LLLT

     แต่ไม่ว่า LLLT หรือ PDT มักจะต้องใช้เวลาในการรักษามากกว่า 1 ครั้ง อย่างต่อเนื่อง

Message us